รสชาติอาหารและรสชาติชีวิตของ ‘เชฟยุพ’ ที่จอยกับทุกโมเมนต์ในแบบที่ไม่ต้องแข่งกับใคร

หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้ว เมื่อทั่วโลกเกิดวิกฤติการณ์โควิด-19 ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ใช่กับ ‘เชฟยุพ-ยุพดี สัตตะรุจาวงษ์’ วัย 62 เพราะนี่คือประตูบานสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตช่างภาพวัยเก๋าไปตลอดกาล

“ช่วงโควิด-19 สถานการณ์บังคับให้ต้องอยู่บ้าน ไม่มีการทำกิจกรรมนอกบ้านอีกต่อไป พอว่าง ๆ ก็ดูยูทูป แล้วก็เห็นรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ขึ้นมา เราก็ดูจนอินว่าอยากเข้าไปในสตูดิโอเหมือนคนอื่นบ้าง อยากรู้ว่าไนโตรเจนเหลวมันทำอะไรได้บ้างนะ พูดง่าย ๆ คืออยากสนุก (หัวเราะ) แล้วก็เป็นจังหวะที่ลูกมาบอกว่ากำลังเปิดรับสมัคร ก็เลยเตรียมตัวจนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทางรายการ”

ก่อนจะเป็นเชฟยุพที่ทุกคนรู้จัก ก็เป็นเชฟรุ่นจิ๋วประจำครอบครัวมาก่อน

ก่อนที่ใคร ๆ จะรู้จักเชฟยุพ ในฐานะผู้เข้าแข่งขันรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ เธอเคยเป็น ด.ญ. ยุพ ที่สนใจเรื่องอาหารนับตั้งแต่จำความได้

“ด้วยความที่เติบโตในครอบครัวคนจีน ก็จะตามอากงไปกินอาหารจีนตลอด เมื่อก่อนไม่มีแกร็บเหมือนสมัยนี้ ผู้ใหญ่ก็จะใช้ให้เราเป็นคนไปซื้อกับข้าวที่ภัตตาคาร เป็นแกร็บสองขา (หัวเราะ) ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้แต่ก็ไม่กินที่ร้านนะ ซื้อกลับบ้านแทน อู๊ย รอนาน ด้วยความที่รอนานแล้วเราเป็นเด็กเราก็เบื่อ กัปตันก็ให้ขึ้นไปตามกับข้าวในครัว ทางเราก็ตื่นตาตื่นใจ อุปกรณ์นึ่ง ควันฉุย ดูตื่นตาตื่นใจ เลยกลายเป็นความประทับใจที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำอาหารไปโดยไม่รู้ตัว

“อย่างก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เจ้าดังนี่เราก็ไปดูแม่ครัวจนทำเป็นน่ะ (หัวเราะ) ได้ดูวิธีผัด พวกราดหน้า ผัดไทย ไปยืนดูเค้าทำ ถามสูตรเค้าก็ไม่บอก ก็ครูพักลักจำกันไป”

เชฟยุพนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาเมื่อครั้งเจ้าตัวยังเด็กว่า ด้วยความที่ครอบครัวอยู่ถนนพลับพลาไชย ซึ่งแวดล้อมด้วยร้านรวงของกินของอร่อย ก็เก็บเกี่ยวเป็นความประทับใจให้อยากทำกับข้าว อยากลองทำบ้าง ถึงขนาดไปพาหุรัดเพื่อไปซื้ออุปกรณ์มาทำ

สมัยก่อนไม่มีอะไรเล่นเหมือนเด็กสมัยนี้ การเล่นของเราก็คือการทำอาหาร อย่างแม่ครัวที่บ้านเป็นคนอุบล กลับบ้านต่างจังหวัดเอากบมาให้ ตอนถลกหนังก็ไม่ให้เราดูนะ แต่ให้เราหมักสามเกลอแทน โห มันยังดิ้นอยู่ในมือเลย (หัวเราะ) เราก็ไม่กลัว ก็ผัดแบบไฟแรง ทำจนอากงชม (หัวเราะ) ก็ภูมิใจ”

เมื่อคนรอบตัวเป็นผู้จุดประกายการทำอาหาร แพชชั่นจึงลุกโชนตั้งแต่เยาว์วัยนับแต่นั้น

ส่วนในเรื่องของการทำอาหาร ต้นแบบที่หล่อหลอมให้เชฟยุพในวัย 62 พูดได้เต็มปากว่าหลงใหลในเรื่องอาหาร ก็คือคนรอบตัวนั่นเอง

“อากงจะเป็นแผนกพาไปชิมของอร่อย ซุปตะพาบน้ำอะไรแบบนี้ ก็กล้ากิน เราได้กินอาหารอร่อยตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ว่าอาหารอร่อยเป็นยังไง

ส่วนอาม่าก็ทำกับข้าว ทำขนมอิ่วก้วย เป็นแป้งมันเทศผสมแป้งสาลี ใส่ไส้กะหล่ำปลีผัดเห็ดหอมกับหมู อาม่าให้ลองหัดทำตั้งแต่เด็ก ๆ พวกผู้ใหญ่ในบ้านนี่ล่ะช่วยให้หัดทำ ไม่เคยไปเรียนทำอาหารมาจากที่ไหน

แต่อาหารไทยเนี่ย เนื่องจากสมัยนั้นเค้าหนีสงครามกันไปในสวน อากงรู้จักคุณป้าคนหนึ่งที่ทำอาหารไทยอร่อยมาก ประทับใจมัสมั่นฝีมือแกมาก ก็เลยได้เริ่มกินอาหารไทย เปิดโลกอาหารไทยตั้งแต่ตอนนั้น”

เส้นทางชีวิตที่ไม่ได้มีแค่กระทะตะหลิวตั้งแต่เริ่มแรก แต่เป็นการลั่นชัตเตอร์ในฐานะช่างภาพมืออาชีพมาก่อน

แม้จะเรียกตัวเองเต็มปากว่าเชฟ แต่อันที่จริงแล้วเชฟยุพไม่ได้ร่ำเรียนด้านอาหารมาโดยตรง แต่กลับเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การถ่ายภาพ และเป็นช่างภาพที่ถนัดเรื่องการถ่ายรูปพอร์ทเทรทสไตล์คลาสสิกเป็นพิเศษ

นอกเหนือจากถ่ายภาพเวดดิ้ง ถ่ายโฆษณา เชฟยุพยังเป็นช่างภาพจิตอาสาช่วยงาน สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสมาคมศิษย์เซนต์โยเซฟในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นเวลานับ 20 ปี คอยเก็บภาพกิจกรรมต่าง ๆ นับเป็นอีกหนึ่งแพชชั่นที่มอบความสุขและคุณค่าเป็นอย่างดี

ผู้เข้าแข่งขันรายการทำอาหารมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซั่นที่ 5 ที่อายุมากที่สุดในรายการ ไม่ใช่ปัญหา!

เพราะอายุไม่ใช่ข้อจำกัดของการเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ และการเริ่มต้นทำตามความฝัน เช่นเดียวกับเชฟยุพที่นึกสนุก ทลายกรอบ Safe Zone ของตัวเองจนหมดสิ้น จึงทำให้เธอตัดสินใจส่งสมัครเข้าร่วมแข่งขันด้วยตนเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเรียนทำอาหารมาก่อน มีแค่ความหลงใหลในการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก เมื่อแพชชั่นอันแรงกล้าหลอมรวมกับการอยากทดลองสิ่งใหม่ ๆ นี่เองจึงเป็นประตูบานสำคัญที่เปิดให้เธอก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำอาหารใบใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าเดิม

แพชชั่นทุกอย่างจุดประกายจากความสนุก

เมื่อความกล้าที่จะออกจากกรอบ บวกกับความสนุกในการลองทำสิ่งใหม่ กลายเป็นสมการความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้เชฟยุพเปี่ยมไปด้วยไอเดียสดใหม่ไม่ซ้ำใคร

“อย่างช่วงเทศกาลก็จะออกอีเว้นท์บ่อยหน่อย ก็ต้องใช้ความคิด ต้องตีโจทย์ ต้องพลิกแพลงทำเมนูใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ออกแนวชอบทำอาหารจานใหม่จากของเหลือ อย่างออกไปกินร้านนู้นร้านนี้ แล้วกินไม่หมดก็ห่อกลับบ้าน ก็เอามาทำเมนูใหม่ มาทำเสริม เอามาปรับใหม่ให้เป็นสไตล์เรา

ส่วนตัวจะไม่ค่อยกินรสเผ็ดจัด อย่างแกงเขียวหวานเผ็ด ๆ จะทำยังไงให้เรากินได้ ตอนนั้นมีโจทย์จากซัพพลายเออร์แป้งขนมชั้นสำเร็จรูป ก็ลองทำขนมชั้นที่เป็นของคาว เอาน้ำแกงเขียวหวานมาผสมกับแป้งขนมชั้น เติมกะทิ ปรุงรสชาติให้กลมกล่อม แล้วไปนึ่งเหมือนขนมชั้น มันก็จะออกมาเป็นแผ่นเหนียวหนึบ ก็เอามาม้วนกับลูกชิ้นปลากราย กับมะเขือ เป็นโรล เป็นคำ ๆ กลายเป็นของคาวที่หน้าตาแปลกใหม่ แล้วก็อร่อยด้วยนะ (หัวเราะ)”

4 เมนู Home Cook สูตรเชฟยุพ เพื่อสุขภาพวัย 50+

1. ซุปฟักทองแสนอร่อย แบบเสิร์ฟทั้งลูก

เมนูสุดครีเอทที่เชฟยุพได้แรงบันดาลใจจากเชฟท่านหนึ่ง เดิมเป็นสังขยาฟักทองแบบแกะสลักที่เสิร์ฟมาทั้งลูก แทนที่จะกินแบบของหวาน จึงปิ๊งไอเดียทำเป็นซุปฟักทองที่เติมไข่ลงไป ได้ฟีลไข่ตุ๋นผสมฟักทอง อิ่มเบา ๆ แต่มากด้วยวิตามิน เหมาะกับวัย 50+ เป็นที่สุด

2. เมี่ยงคำยำผลไม้

คุณป้าท่านนึงชอบซื้อเมี่ยงคำมาแจก พอเครื่องหมด ก็นำผลไม้ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นส้มโอ ชมพู่ แอปเปิ้ล นำมาหั่นเต๋า คลุกเคล้ากับน้ำเมี่ยงคำ บีบมะนาวเพิ่มความจี๊ดจ๊าดแบบยำผลไม้ เมนูนี้เชฟยุพเผยไอเดียแบบติดตลกว่าอร่อยง่ายแบบไม่ต้องล้างครกให้วุ่นวาย

3. เบสน้ำซุปหมู-เนื้อสูตรเข้มข้น คอลลาเจนเน้น ๆ

น้ำซุปสูตรเข้มข้นที่นำมาต่อยอดเมนูได้หลากหลาย เริ่มจากนำขาหมูมาตุ๋นพร้อมเนื้อวัว ใส่หอมใหญ่ใส่กระเทียม ตุ๋นในหม้อแรงดันจนนุ่ม ได้น้ำซุปแสนอร่อยที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ใส่แครอท ใส่มันฝรั่ง ดัดแปลงเป็นแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่น หรือจะใส่เห็ด ตะไคร้ ใบมะกรูด แบบต้มยำ ก็อร่อยเหาะ

4. ข้าวจี่แซ่บ

เมนูที่ต่อยอดจากความขัดใจ เมื่อสั่งข้าวเหนียวหมูทีไร เหลือแต่ข้าวเหนียวทุกที เชฟยุพจึงนำข้าวเหนียวที่เหลือมาคลุกรวมกับน้ำจิ้มแจ่วและไข่ นำไปจี่กับกระทะ ได้เมนูแปลงร่างกลายเป็นข้าวจี่แซ่บ นำมากินกับโปรตีนอื่น ๆ และผักสด ก็เข้ากันแบบสุด ๆ

กับคำถามสุดท้าย หากให้เปรียบตัวเองเป็นอาหาร คิดว่าตัวเองเป็นอาหารอะไร รสชาติประมาณไหน? เธอตอบทันทีว่า ต้องเป็นอาหารที่ไม่รสจัดจ้านจนเกินไป แต่ต้องกลมกล่อม แปลก ใหม่ ไม่ซ้ำใคร เช่นเดียวกับตัวตนของเชฟยุพ ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก