หากเข้าไปในแอ็คเคาท์อินสตาแกรมที่มีชื่อว่า @wanpen.yee คุณจะพบผู้หญิงผมสีเงินคาแรกเตอร์จัดที่ดูเอนจอยกับการใช้ชีวิต แม้จะไม่ได้เข้าไปกดอ่านแคปชั่นในแต่ละรูปก็สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง นี่คือ ยี วันเพ็ญ หรือคุณ วันเพ็ญ ชัยบุญญลักษณ์ นางแบบวัย 59 ปี ที่กำลังเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่นนั่นเอง
มาถึงตอนนี้ หลายคนแอบสงสัยว่าทำไมวัย Gen ยัง Active อย่างเธอ ถึงก้าวเข้าสู่วงการนางแบบในวัยเกษียณสุขได้ ? แอบสปอยล์กันตรงนี้เลยว่าเป็นจังหวะชีวิตที่จักรวาลเหวี่ยงมาให้ของแท้ !
Chapter 1: ชีวิตก่อนเดบิวต์
ชีวิตของคุณยีนั้นเรียบง่ายไม่หวือหวา หากไล่เรียงไทม์ไลน์ชีวิตตั้งแต่วัยรุ่นนั้นเธอบอกว่าเป็นคนชอบแต่งตัวตั้งแต่เด็ก ชอบแฟชั่นเป็นชีวิตจิตใจ และมีแพชชั่นที่อยากเป็นนางแบบมาแต่ไหนแต่ไร
“เป็นคนชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่น อยากเป็นนางแบบมาตั้งแต่สาว ๆ แล้ว แต่ไทม์มิ่งยังไม่ได้ ตอนนั้นเราก็เบ่งบาน มีออร่า หุ่นก็ดี ก็กล้าอวด มาตอนนี้ เราสูงวัย แต่เราชอบแต่งตัวไง อย่างผมขาวผมสีดอกเลาที่ตอนนี้เพิ่งมาฮิตกัน เราก็นำเทรนด์หน้าตึงผมขาวมาตั้งแต่ 20-30 ปีที่แล้ว คือเราไม่ได้ย้อมผม มายุคนี้กลายเป็นว่าผมเราสวย ผมเราสีเงิน กลายเป็นความโดดเด่นไปซะอย่างนั้น” คุณยีเล่าด้วยน้ำเสียงสดใส
จากวัยสาวที่เปี่ยมไปด้วยแพชชั่นในเรื่องแฟชั่น สู่บทบาทการเป็นแม่ของลูก ๆ ความฝันที่จะได้เป็นนางแบบดูจะเลือนลาง กลับกลายเป็นความฝันที่อยู่ในลิ้นชักแห่งความทรงจำไปแทน
“พอเรียนจบก็ได้ทำงานที่ห้องเสื้อ ทำงานได้แป๊บนึงก็ออกมามีครอบครัว มีลูก 3 คนที่โตมาไล่เลี่ยกัน ก็ต้องเลี้ยงลูก ซึ่งตอนนั้นเราก็โหยหาเรื่องแฟชั่นนะ อยากแต่งตัวแต่ไม่รู้จะแต่งไปไหน ก็แต่งตามสภาพของเรา ไม่ได้เชยแบบแม่บ้านจ๋าแต่ก็ไม่ได้ตกเทรนด์ แต่จะให้หรูฟูฟ่าก็ไม่ใช่ เคยคิดเล่น ๆ ว่าชีวิตนี้เราคงต้องเป็นแม่บ้านไปจนตายเลยมั๊ง ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะมีโอกาสได้ทำตามฝัน ทุกอย่างเหมือนปูพรมแดงไว้ให้เดิน ไม่นึกไม่ฝันเลยจริง ๆ”
แล้วจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตก็มาถึงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ช่วงนึงมันมีสิ่งที่มากระทบใจพี่มากเลยคือเรื่องของการสูญเสีย ทั้งคนใกล้ชิดและน้องหมาแสนรัก เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เศร้ามาก ทำอะไรไม่ได้เลย เก็บตัว ชีวิตเปลี่ยน จับแต่โทรศัพท์มือถือ ไม่พูดกับใคร จนกระทั่งมาไถโทรศัพท์เจอโพสต์ของเพื่อนก็เลยนัดเจอกันที่บีทีเอสช่องนนทรี ระหว่างรอ มีแค่พี่กับช่างภาพที่กำลังถ่ายรูปนางแบบอยู่ เราก็ดูเค้าทำงานเพลิน ๆ จังหวะนั้นมีช่างภาพที่กำลังนั่งกินข้าว นั่งพักเบรคอยู่ เราก็เข้าไปถามทางว่ารู้จักบริษัทนี้ไหมคะ อยู่ตรงไหน น้องเค้าก็บอกมาเสร็จสรรพ ก่อนจะไปก็ถามว่า พี่ ๆ พี่เคยถ่ายแบบมั้ยครับ โอ้โห คำถามนี้มันแบบ...เปลี่ยนชีวิตพี่เลย เป็นคำถามที่ไม่คิดว่าจะมีคนถามอีกครั้งในชีวิต”
Chapter 2: เดบิวต์เป็นนางแบบ เข้าสู่วงการเต็มตัว
คุณยีย้อนให้ฟังว่าสมัยที่ทำงานห้องเสื้อที่สยาม มีแมวมองมาถามคำถามนี้กับเธอไม่น้อย หลายครั้งที่เรียกไปแคสแต่ไม่เคยได้งานเลย เจ้าตัวบอกว่าปกติถ้ามีคนมาถามแบบนี้จะชิงปฏิเสธก่อนเลย แต่ครั้งนี้กลับกัน เพราะเธอไม่ได้ปิดกั้นตัวเองโดยตอบปฏิเสธเหมือนเช่นทุกครั้ง
“แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน วันนั้นที่น้องช่างภาพเค้าถามเราเสร็จปุ๊บ พี่ไม่ตอบนะ พี่ยืนเฉย ๆ เค้าก็หยิบโทรศัพท์ โชว์ผลงานให้ดู แล้วก็ขอไลน์เรา เราก็ให้ไปเป็นการตอบแทนที่เค้าบอกทาง แค่นั้นเลย”
ดูเหมือนประโยคเปลี่ยนชีวิตที่ว่า จะยังไม่ได้หยิบยื่นโอกาสให้คุณยีในทันที แต่กลับทิ้งช่วงไปสักพักราวกับจะทดสอบอะไรบางอย่างกับทางเจ้าตัว
“หลังจากนั้นเป็นอาทิตย์กว่าเค้าจะติดต่อมา เราก็แบบเฮ้ย เอาจริงเว้ยคนนี้ (หัวเราะ) เชื่อไหมว่าเพื่อนที่นัดเจอกันวันนั้น ยังแซวเลยว่าไม่แน่นะ เค้าอาจจะติดต่อมาก็ได้ แล้วก็ติดต่อมาจริง ๆ”
เรียกว่าช่างภาพคนนั้นเป็นคนที่ตัดสายสะดือให้ ยี วันเพ็ญ ได้ก้าวเข้าสู่วงการโฆษณาก็คงไม่ผิดนัก
“ณ เวลานั้น ด้วยความที่เราก็อายุเท่านี้แล้ว ไม่ได้คิดเลยว่าจะมีหนทาง คุณลืมมันไปได้เลยความฝันที่จะเป็นนางแบบน่ะ มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันก็จะได้อยู่แต่ในความฝัน เหมือนคนฝันหวานที่อยู่ในมโนของตัวเองไป แต่พอวันนึงที่โอกาสมันมาถึง มันทำให้เราเรียนรู้ชีวิตเลยว่า ณ วันนี้พอมองกลับไป อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา ทุ่มให้ตาย ทำให้ตาย เหนื่อยแค่ไหน ก็ไม่ได้ แต่อะไรที่มันจะเป็นของเรา ยืนนิ่ง ๆ เวลาโอกาสมันเปิดปุ๊บ เหตุปัจจัยทุกอย่างมันพร้อมปุ๊บ มันมายืนตรงหน้าเราเลย มันอยู่ตรงที่คุณจะคว้ามันหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
Chapter 3: ตกตะกอนความคิด จากวิถีชีวิตการเป็นนางแบบ
นอกจากความท้าทายในการทำงาน สิ่งที่คุณยีได้เรียนรู้จากการทำงานในวงการนี้คือการตกตะกอนชีวิต โดยเรียนรู้จากความผิดหวังและการคาดหวังไปพร้อม ๆ กัน
“แต่ก่อนใหม่ ๆ ไม่เข้าใจ แค่เค้ามาติดต่อก็คือคิดว่าเราได้งานแล้ว แต่ไม่ใช่ไง กลายเป็นว่าเรารู้สึกถึงแรงกระทบ มันกระทบใจเราเนอะ ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ว่าอันนี้แค่ติดต่อมาก่อน ยังไม่ได้คอนเฟิร์มคิว ทำให้เรามีมุมมองว่าจริง ๆ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะสำหรับงานในวงการโฆษณา ลองคิดดูว่าโฆษณาตัวนึง คิดดูว่ามีวัยเราเข้ามาแคสตั้งกี่คน กว่าจะกรองเข้ามา กว่าจะคัดเลือกว่าสุดท้ายเป็นเรา มันไม่ง่ายนะ พอเวลาเค้าจิ้ม เค้าเลือกเรา ก็คือถือว่าเป็นโบนัสค่ะ”
เห็นนางแบบวัยเก๋าอย่างคุณยีดูมีเอเนอร์จี้ที่ทรงพลังเช่นนี้ ในเรื่องของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต หากว่างเว้นจากการทำงานก็จะดูแลตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้ เธอเล่าให้ฟังว่าส่วนใหญ่ก็จะนัดเจอเพื่อน ๆ ไปดูงานศิลปะบ้าง เข้าฟิตเนสบ้าง และเมื่อหยอดคำถามไปว่าปกติเป็นคนชอบออกกำลังกาย ดูแลตัวเองเข้มข้นตั้งแต่ตอนสาว ๆ หรือตอนนี้ต้องกลับมาดูแลตัวเองเข้มข้นมากขึ้น เจ้าตัวก็ตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงสดใส
“เอาจริง ๆ เลยไหม มีแต่คนมองว่าพี่ยีดูเฮลท์ตี้ จริง ๆ แล้วไม่เลย ยิ่งปีที่ผ่านมา งานเยอะมาก แทบไม่ได้ออกกำลังกาย จึงมีเวลาไปฟิตเนสน้อยลงมาก ถ้าเทียบกับปีสองปีก่อนที่ฟิตเนสเหมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 แต่ตอนนี้กลับกัน เป็นเพราะตารางชีวิตเราแน่น เราทำงานแล้วหมดแรง ช่วงที่ผ่านมาก็หน้าร้อน หน้าฝน ร่างกายไม่ไหวจริง ๆ”
“ภูมิใจนะที่มีคนมองว่าเราดูดีดูแข็งแรง อาจเป็นเพราะเวลาได้ออกไปข้างนอกจะแฮปปี้มาก ด้วยนิสัยเราที่ชอบวี๊ดว๊ายก็เลยดูแบบเอเนอร์จี้ดี สดใส เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนอายุ 50-60 เลย”
Chapter 4: งานเดินแบบคือแพชชั่น แต่งานแสดงคือความท้าทายครั้งใหม่
ทุกวันนี้ความสุขของนางแบบวัย Gen ยัง Active อย่างคุณยีคือการได้ทำงาน ได้พบปะผู้คน เป็นความสุขที่สบาย ๆ เรียบง่าย ทุกวันนี้นอกจากงานโฆษณา งานภาพนิ่ง งานเดินแบบ สิ่งที่เจ้าตัวอินสุด ๆ คือเรื่องของการแสดง โดยก่อนหน้านี้เคยได้เป็นเอ็กซ์ตร้างานภาพยนตร์ ล่าสุดได้ไปแจมในซีรีส์อยู่หลายเรื่อง
“อะไรที่เข้ามาที่เป็นโอกาสเราก็ลองให้หมด เพราะอยากรู้ว่ามันต่างจากงานโฆษณายังไง เวลาพี่ได้ชิมลางตรงนี้ถึงรู้เลยว่าการแสดงมันมีเสน่ห์มาก แต่งานนางแบบคือสิ่งที่เรารักที่สุด พี่ชอบแต่งตัว ได้เปลี่ยนชุด ได้แต่งตัวสวย ก็ค่อย ๆ เรียนรู้กันไป ทุกวันนี้ก็ยังต้องเรียนรู้ เราก็ยังไม่ได้โปรขนาดนั้น จะเดินแบบก็ยังตื่นเต้น แต่ก็มีความสุขทุกครั้ง ชาเลนจ์ตัวเองทุกครั้งที่ได้รับงาน”
ด้วยเอเนอร์จี้ที่สดใสเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นนี้ หากมีเพื่อน ๆ วัยเดียวกันที่อาจจะเกษียณแล้วรู้สึกหมดไฟในชีวิต เธอก็พร้อมแชร์ทริคเพื่อให้วัย Gen ยัง Active 50+ กลับมาสดใสมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“สิ่งแรก คน ๆ นั้นต้องยอมที่จะเปิดใจ แล้วอย่าอยู่คนเดียว คือพยายามออกไปข้างนอก ออกไปทั้งยังเฉา ๆ ก็ได้ เหมือนพี่ยีตอนนั้นที่ออกไปเจอเพื่อนทั้งยังเฉา ๆ แบบนั้นล่ะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราจะเจออะไร อย่าหมกตัวอยู่ในบ้าน บางคนเป็นประเภทที่ว่า ชีวิตโคตรรันทด หมดอาลัยตายอยาก อย่าคิดอะไรเดิม ๆ อย่าฟังเพลงเศร้า ๆ ออกไปเถอะ บางครั้งเราเห็นคนนู้นคนนี้ เราก็เฮ้ย เราก็สามารถทำแบบนี้ได้ มันก็มีแรงบันดาลใจอะไรใหม่ ๆ กลับมา เรื่อง Mindset ก็สำคัญ เวลาออกไปเจอคน ได้พูดคุย เราก็รู้สึกตัวเองมีคุณค่า ง่าย ๆ แค่นั้นเลย”
ทั้งหมดนี้คือหนึ่งแรงบันดาลใจจากนางแบบวัยเก๋า ‘ยี วันเพ็ญ’ ทำให้คนกล้าที่จะฝัน โดยพิสูจน์ว่าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขจริง ๆ